Monday, August 27, 2018

NVIDIA เปิดตัว GeForce RTX ใช้คอร์ Turing รุ่นสูงสุด RTX 2080 Ti Founder Edition ราคา 1,199 ดอลลาร์

NVIDIA เปิดชิปกราฟิกตระกูล GeForce RTX พร้อมกัน 3 รายการ ได้แก่ GeForce RTX 2080 Ti, GeForce RTX 2080, และ GeForce RTX 2070 ทั้งใช้คอร์ Turing แบบเดียวกับ Quadro RTX ที่เปิดตัวไปสัปดาห์ที่แล้ว
   Turing คือสถาปัตยกรรมจีพียูรุ่นใหม่จากค่าย NVIDIA ที่ต่อจากยุคของ Pascal (GeForce 10)
   NVIDIA ระบุว่า Turing เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเปิดตัว CUDA core ในปี 2006 โดยมันใช้หน่วยประมวลผล 2 แบบทำงานร่วมกัน คือ RT Cores สำหรับประมวลผลกราฟิกแบบ ray tracing และ Tensor Cores สำหรับประมวลผล AI
   Ray tracing เป็นเทคนิคของวงการกราฟิก ที่เรนเดอร์ภาพตามเส้นทางวิ่งของลำแสง และจำลองเอฟเฟคต์ที่เกิดขึ้นจากการกระทบของแสงต่อวัตถุนั้นจริงๆ (เหมือนกับภาพที่เราเห็นในโลกจริง) เทคนิคนี้ทำให้ได้ภาพที่สมจริงมาก แต่ก็เปลืองพลังในการประมวลผลมากเช่นกัน
  • RT Cores ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเร่งการประมวลผล ray tracing โดยรองรับสูงสุดที่ 10 GigaRays (1 หมื่นล้านลำแสง) ต่อวินาที
  • Tensor Cores มีใช้ตั้งแต่ยุค Volta ออกแบบมาสำหรับงาน deep learning สามารถรันงานได้ที่ 500 trillion tensor operations ต่อวินาที สามารถประยุกต์ใช้กับงานสายกราฟิกได้ เช่น ทำ anti-aliasing ด้วย deep learning
NVIDIA เรียกการประมวลผลด้วยคอร์ทั้งสองแบบว่า Hybrid Rendering โดยใช้แบรนด์ NVIDIA RTX ทำตลาด
   นอกจาก RT Cores และ Tensor Cores แล้ว Turing ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกตัวคือ Turing Streaming Multiprocessorเป็นเอนจินการประมวลผลแบบขนานตัวใหม่ ที่แยกการประมวลผลจำนวนเต็ม (integer) และทศนิยม (floating point) จากกัน มีระบบแคชร่วมกันที่ขนาดใหญ่ขึ้นสองเท่า ทางบริษัทระบุว่าตัวเอนจินใหม่สามารถรัน 1.6 ล้านล้านคำสั่งทศนิยม และ 16 ล้านล้านคำสั่งจำนวนเต็มได้พร้อมกัน (บน CUDA จำนวน 4,608 คอร์) ผลคือสามารถรันงานกราฟิกแบบ raster หรืองาน simulation ได้เร็วกว่าเดิม

ความเปลี่ยนแปลงของชิป GeForce RTX ได้แก่
  • RT Cores สำหรับการเรนเดอร์แบบ ray tracing
  • Turing Tensor Cores เร่งความเร็วการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์
  • รองรับเฟรมเวิร์ค NGX สำหรับการใช้ปัญญาประดิษฐ์มาเพิ่มคุณภาพกราฟิก
  • รองรับแรม GDDR6
  • รองรับการต่อจอภาพและแว่น VR ด้วยพอร์ต USB-C
การ์ดรุ่น GeForce RTX 2080 Ti Founders Edition พร้อมแรม 11GB เริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว ราคาอยู่ที่ 1,199 ดอลลาร์ (สมัย GTX 1080 Ti ราคาอยู่ที่ 699 ดอลลาร์) สำหรับการ์ดจากผู้ผลิตอื่นเริ่มที่ 999 ดอลลาร์
ส่วนรุ่น GeForce RTX 2080 รองรับแรม 8GB รุ่น Founder อยู่ที่ 799 ดอลลาร์ ผู้ผลิตอื่นเริ่มที่ 699 ดอลลาร์ เริ่มวางขาย 20 กันยายนนี้
และรุ่น GeForce RTX 2070 รองรับแรม 8GB รุ่น Founder อยู่ที่ 599 ดอลลาร์ ผู้ผลิตอื่นเริ่มที่ 499 ดอลลาร์ เริ่มวางขายเดือนตุลาคม

ที่มา: Blognone (1) (2) , NVIDIA , NVIDIA BLOG

วิเคราะห์ : เนื่องจาก GPU รุ่นใหม่นี้มีราคาที่สูงมาก แต่คุณภาพก็สูงมากเช่นกัน โดยได้เริ่มใช้สถาปัตยกรรมใหม่ Turing ที่เปิดตัวพร้อมกับ Quadro RTX และยังมี Ray tracing ที่จะทำให้การประมวลผลแสงสมจริงที่สุด 

Galaxy Note 9 เปิดตัว ดีไซน์คล้ายเดิม, แบตอึดขึ้น, ใช้ S Pen สั่งถ่ายรูปจากระยะไกล

คงกล่าวได้ว่าตรงตามข่าวลือและภาพหลุดแบบเป๊ะๆ สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกยังให้ความรู้สึกที่คล้ายกับ Note 8 ส่วนกล้องหลังคู่มีเลนส์สองขนาด และย้ายตำแหน่งสแกนลายนิ้วมือมาไว้ใต้กล้อง

สเปกของ Galaxy Note 9
  • หน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว Super AMOLED ความละเอียด QHD+ 2960 x 1440 พิกเซล
  • ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo
  • ชิปแยกเป็นรุ่น Snapdragon 845 / Exynos 9810 Octa-core
  • กล้องหลังคู่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4 / f/1.5, กันสั่น OIS, มี AI ช่วยถ่ายภาพ แยกแยะประเภทวัตถุและสภาพแสงได้อัตโนมัติ
  • กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, f/1.7
  • รองรับฟีเจอร์ AR Emoji
  • แรม 6GB / 8GB, รอม 128GB / 512GB เพิ่ม microSD card ความจุสูงสุด 1TB
  • ระบบความปลอดภัย ได้แก่ สแกนลายนิ้วมือ, สแกนม่านตา และจดจำใบหน้า
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), Enhanced 4x4 MIMO, 5CA, LAA, LTE Cat.18
  • กันน้ำ มาตรฐาน IP68
  • แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh รองรับ Fast Charging และ Wireless charging

ส่วนปากกา S Pen ก็อัพเกรดเพิ่มขึ้น รองรับ Bluetooth เป็นชัตเตอร์สำหรับสั่งถ่ายภาพจากระยะไกล, ควบคุม YouTube และสไลด์สำหรับงานพรีเซนต์เตชันได้, มีแบตเตอรี่ในตัว ชาร์จผ่านที่เสียบปากกา ใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้น


เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์ สำหรับใช้เป็นคอมพิวเตอร์ ผ่านอะแดปเตอร์ Samsung DeX

Galaxy Note 9 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Metallic Copper, Midnight Black, Ocean Blue และ Lavender Purple จะเริ่มวางขาย 24 สิงหาคมนี้

ที่มา: Blognone , Samsung Newsroom

วิเคราะห์ข่าว : โดยรวมแล้ว คล้ายๆ S9+ แต่กล้องมี AI เข้ามาช่วย พร้อมยังมีปากกา Bluetooth สามารถที่เป็นชัตเตอร์ สั่งถ่ายภาพจากระยะไกล แบตเตอร์รี่มีมาให้ถึง 4,000 mAh ใช้งานได้ตลอดวัน




Tuesday, August 21, 2018

Google เปิดตัว Android 9.0 ชื่อเล่น Pie อย่างเป็นทางการแล้ว

กูเกิลประกาศเปิดตัว Android P เวอร์ชัน 9.0 อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อคืนนี้ โดยใช้ชื่อรุ่นแบบเรียบง่ายว่า Pie
โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟน Pixel จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้อัพเดต Android 9.0 Pie ส่วนกลุ่มอื่นจะทยอยได้อัพเดตไปตลอดช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ภายในประมาณ 3 เดือนข้างหน้า)
กูเกิลให้คำนิยาม Android 9.0 Pie ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ใส่ Machine Learning มาเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้มันฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และมีการปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้งานดีขึ้นเรื่อย ๆ
ฟีเจอร์ใหม่ของ Android Pie ถูกแบ่งออกเป็น 3 หมวดคือ Intelligence, Simplicity และ Digital Wellbeing มีรายละเอียดดังนี้

Intelligence: ความฉลาดที่มากขึ้นด้วย AI

กูเกิลมีบริษัทลูกสุดเทพอย่าง DeepMind ผู้สร้าง AlphaGo เพื่อไม่ให้เสียของก็นำ AI ของ DeepMind มาใช้งานให้ Android ทำงานได้ดีขึ้น
เริ่มจาก Adaptive Battery ช่วยวิเคราะห์การทำงานของแอพที่ผู้ใช้แต่ละคนใช้งาน และจัดกลุ่มแอพแต่ละตัวตามพฤติกรรมการใช้งาน (เช่น แอพกลุ่ม Active ใช้บ่อยหรือ Rare ที่นานๆ ใช้ที) ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้สูงสุด 30% จากเดิม ฟีเจอร์ลักษณะเดียวกันถูกนำมาใช้กับความสว่างของหน้าจอ Adaptive Brightness ด้วย เพื่อลดปัญหาจอสว่างเกินไปหรือมืดเกินไปในบางสถานการณ์
ฟีเจอร์ต่อมาคือ App Actions ที่ตัว launcher จะคาดเดาว่าเราจะทำอะไรต่อไป และนำมาเสนอให้เราเห็นเลย

Slices แนวคิดใหม่ของแอพที่ไม่ต้องถูกเรียกใช้งานทั้งตัว แต่หยิบมาใช้เพียงบางส่วน และใช้ร่วมกับ Google Assistant ได้ดี 


Simplicity: ปรับหน้าตาของ Android ใหม่ให้เรียบง่ายขึ้น

ฟีเจอร์ในหมวดนี้คือเรื่องของ UI/UX ใน Android Pie ที่เปลี่ยนไปจากเดิมหลายจุด การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Navigation ระบบการนำทางของ OS แบบใหม่ที่เน้นการใช้ gesture แทนการกดปุ่ม ทำให้เหลือปุ่ม Home ปุ่มเดียวบนหน้าจอ (และปุ่ม Back ในบางกรณี)
การเปลี่ยนแปลง UI ยังมีอีกหลายจุดย่อยๆ เช่น เพิ่มปุ่ม Rotate หมุนหน้าจอเมื่อเอียงเครื่อง, ปรับหน้าตาของปุ่มปรับระดับเสียง, เพิ่มฟีเจอร์ให้กับการจับภาพหน้าจอ เป็นต้น

Digital Wellbeing: เน้นคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดอาการติดสมาร์ทโฟน

Digital Wellbeing เป็นธีมที่น่าสนใจและกูเกิลเน้นมากในปีนี้ ฟีเจอร์ในชุดนี้ได้แก่
  • Dashboard โชว์ระยะเวลาที่เราใช้งานสมาร์ทโฟน แยกเป็นรายแอพ รวมถึงสถิติข้อความเตือนที่ได้รับในแต่ละวัน
  • App Timer กำหนดระยะเวลาในการใช้แอพแต่ละตัวได้ เหมาะสำหรับการใช้งานของเด็กๆ
  • Do Not Disturb โหมดไร้การรบกวนใดๆ ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด รวมถึงไม่แสดงขึ้นมาเตือนบนหน้าจอด้วย แต่ก็ยัง อนุญาตให้คนสำคัญโทรมาได้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน
  • Wind Down โหมดก่อนนอน จะลดสีของหน้าจอลงเหลือเป็นขาวดำ และเปิดการทำงานของ Night Light กับ Do Not Disturb เมื่อถึงเวลาเข้านอน เพื่อให้รู้ตัวว่าได้เวลานอนแล้ว


แหล่งที่มา: Blognone(1) (2) , Google Blog
ภาพจาก Google Blog

วิเคราะห์ข่าว: การเปิดตัวเวอร์ชั้น Android Pie นี้ เน้นไปที่การนำ AI มาใช้ประโยชน์  มี UI หน้าใช้ ทันสมัย และมีสิ่งที่ช่วยลดการเล่นโทรศัพท์

Facebook และ Instagram เพิ่มเครื่องมือมอนิเตอร์เวลาใช้งานแอพและจำกัดการแจ้งเตือน

     Facebook เปิดตัวเครื่องมือใหม่สำหรับการจัดการการใช้เวลาในโซเชียลเน็ตเวิร์คใน Facebook และ Instagram โดยสำหรับ Facebook จะอยู่ในเมนู Your Time on Facebook และ Instagram จะอยู่ในเมนู Your Activity ใน Settings
     ฟีเจอร์นี้จะแสดงแดชบอร์ดเวลาเฉลี่ยที่ใช้งานแอพบนอุปกรณ์นั้น สามารถแตะเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เวลาทั้งหมดสำหรับวันนั้นได้ และด้านล่างของแดชบอร์ดจะสามารถตั้งกำหนดเวลาใช้งานเพื่อให้แจ้งเตือนในตอนที่ใกล้หมดเวลาใช้งานแอพ และยังมีฟีเจอร์จำกัดการแจ้งเตือน คือภายใต้ Notification Settings สามารถกดปุ่ม Mute Push Notifications ได้ เพื่อให้ Facebook และ Instagram จำกัดการแจ้งเตือนเป็นช่วงเวลาหนึ่ง
     ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Facebook และ Instagram นี้จะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้ใช้ภายในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า(สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม) ซึ่งในอนาคต Facebook อาจเพิ่มฟีเจอร์อื่นเข้าไปในแดชบอร์ดได้ตามการสำรวจของบริษัท
ที่มา: Blognone , Facebook Newsroom
ภาพจาก Facebook Newsroom

วิเคราะห์ข่าว: เครื่องมือนี้ใช้จัดการเวลาที่เราเล่น Facebook และ Instargram สามารถตั้งให้ปิด notification ตามเวลาได้ ลักษณะโดยรวมคล้ายๆ App Timers ของ Android 9

Visual Studio Code ออกส่วนขยาย GitHub Pull Requests

     นี่คงเป็นเรื่องดีๆ ที่จับต้องได้ชัดเจน หลัง ไมโครซอฟท์ซื้อ GitHub ล่าสุดทีม Visual Studio Code ประกาศออกส่วนขยาย GitHub Pull Requests ...